นอกจากการเตรียมความพร้อมทางการเงินในวัยเกษียณ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้การใช้ชีวิตในวัยเกษียณเป็นไปอย่างที่คาดหวังก็คือ แห่ลงเงินทุนเพื่อการเกษียณแหล่งอื่นๆ ซึ่งแหล่งเงินทุนที่จะกล่าวนี้ แต่ละคนจะมีแหล่งเงินทุนที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของงานที่ทำ บางคนมีมาก บางคนมีน้อย และสำหรับแหล่งเงินทุนที่ไม่ควรมองข้ามเพื่อการเกษียณอายุ มีดังนี้
1.เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน
สำหรับมนุษย์เงินเดือน อย่างเราๆ ลูกจ้างประจำ ก็จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งมีการระบุว่า หากนายจ้างเป็นฝ่ายเลิกจ้างเรา ไม่ว่าจะเป็นเพราะการสิ้นสุดสัญญาจ้าง ก็ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้กับลูกจ้างตามอายุการทำงานของเรา ในที่ทำงานแห่งนั้น ยกตัวอย่าง เช่น
อายุงาน | เงินชดเชย |
ตั้งแต่ 120วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี | 30 วัน |
ตั้งแต่1ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี | 90 วัน |
ตั้งแต่3 ปี แต่ไม่ถึง 6 ปี | 180 วัน |
ตั้งแต่ 6 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี | 240 วัน |
ตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป | 300 วัน |
ซึ่งในกรณีที่ผู้ว่าจ้างยกเลิกการจ้างงาน ก็ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยในส่วนนี้ให้ตามที่กฎหมายระบุเอาไว้
2.เงินบำนาญจากกองทุนประกันสังคม
นอกจากเงินที่เราจะได้รับการชดเชยตามกฎหมายแรงงานแล้ว สำหรับพนักงานเอกชน กินเงินเดือนอย่างเรา สวัสดิการที่เปรียบเหมือนภาคบังคับที่ทุกบริษัทและทุกคนจะต้องทำ นั่นก็คือ ประกันสังคม แหล่งเงินทุนเพื่อการเกษียรที่เราได้รับจากกองทุนประกันสังคม เราเรียกว่า เงินบำนาญชราภาพ ซึ่งเป็นเงินสบทบที่เราถูกหักออกทุกเดือนจากรายได้ที่เราจะได้รับตลอดช่วงที่เราทำงาน เงินในจำนวนนี้จะทยอยสะสมไปเรื่อยๆทุกเดือนเมื่อนำเงินสบทบมารวมกับของนายจ้าง เงินทุนหรือผลตอบแทนที่เราจะได้รับจะอยู่ในรูปแบบของ เงินบำนาญ โดยที่ผู้ประกันตนจะได้รับเมื่ออายุ 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งจ่ายให้เป็นรายเดือนทุกเดือนไปจนเสียชีวิต แต่การจะได้รับเงิน เงินบำนาญชราภาพ จะต้องผ่านเงื่อนไขข้อกำหนด 3 อย่างดังต่อไปนี้ คือ
- จ่ายเงินสมทบไม่ต่ำกว่า 180 เดือน หรือประมาณ 15 ปี ขึ้นไป
- อายุ 55 ปีบริบูรณ์
- การประกันตนได้สิ้นสุดลงและหยุดส่งเงินสมทบ เช่น การลาออกจากงาน การหยุดส่งเงินสบทบ
3.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ต้องบอกก่อนว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปัจจุบันมีเพียงบางบริษัทเท่านั้นที่จัดสวัสดิการนี้ให้กับพนักงานของตน ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายออกมารับรองว่า เป็นสวัสดิการสมัครใจ ซึ่งหมายความว่า ไม่เพียงแต่จะต้องถามความสมัครใจของลูกจ้างเพียงอย่างเดียว จะต้องถามถึงความสมัครใจของนายจ้างด้วยเช่นเดียวกัน ข้อดีของกองทุนประเภทนี้คือ
- ช่วยให้มีวินัยในการออมโดยอัตโนมัติ เพราะเงินนี้มาจากเงินที่นายจ้างหักจากค่าจ้างของเราสะสมเข้ากองทุนและเงินที่นายจ้างจ่ายสบทบเข้ากองทุน
- สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี
- เพิ่มโอกาสการเติบโตในเรื่องของการลงทุน เพราะ มีมืออาชีพช่วยในการบริหารเงินให้ตามประเภทของกองทุน ทั้งกองทุนเดี่ยว กองทุนกลุ่ม และกองทุนร่วมทุน
- มีเงินเก็บในระยะยาว เพื่อนำไปใช้ในยามเกษียณหรือออกจากงาน
สำหรับใครที่ไม่อยากพลาดการลงทุนหรือบริษัทของตนมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว ลองสอบถามฝ่ายบุคคลว่า มีแผนการลงทุนอะไรให้เลือกเองได้บ้าง ยิ่งอายุน้อยโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนก็มีมากขึ้น อีกทั้งเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เราก็สามารถย้ายหรือปรับเปลี่ยนไปลงทุนกองทุนที่มีความมั่นคงและปลอดภัยกว่า
มาถึงตรงนี้แล้ว ลองสำรวจตัวคุณเองสิว่า วันนี้คุณมีแหล่งเงินทุนอะไรบ้าง ที่สามารถเป็นหลักประกันการใช้ชีวิตในวันข้างหน้า
แหล่งเงินทุนเกษียณอายุ ที่ไม่สมควรละเลย
นอกเหนือจากการเตรียมพร้อมทางด้านการเงินในวัยปลดเกษียณ สิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยให้การดำเนินชีวิตในวัยเกษียณอายุเป็นไปอย่างที่คาดหวังก็คือ แห่ลงเงินทุนเพื่อการเกษียณอายุแหล่งอื่นๆซึ่งแหล่งเงินทุนที่จะกล่าวนี้ แต่ละคนจะมีแหล่งเงินทุนที่ต่างกันออกไปตามรูปแบบของงานที่ทำ บางบุคคลมีมากมาย บางบุคคลมีน้อย รวมทั้งสำหรับแหล่งเงินทุนที่ไม่สมควรละเลยเพื่อการเกษียณ มีดังนี้
1.ค่าสินไหมทดแทนโดยชอบด้วยกฎหมายแรงงาน
สำหรับพนักงานประจำ อย่างพวกเราๆลูกจ้างประจำ ก็จะได้รับความปกป้องโดยชอบด้วยกฎหมายแรงงาน ซึ่งมีการกล่าวว่า ถ้าหากนายเป็นข้างเลิกว่าจ้างพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุว่าการหมดสัญญาว่าจ้าง ก็จำต้องชำระเงินค่าทำขวัญให้กับผู้รับจ้างตามอายุหลักการทำงานของพวกเรา ในสถานที่ทำงานที่นั้น ยกตัวอย่าง ดังเช่น
อายุงาน เงินค่าปรับไหม
ตั้งแต่ 120วัน แม้กระนั้นไม่ถึง 1 ปี 30 วัน
ตั้งแต่1ปี แต่ว่าไม่ถึง 3 ปี 90 วัน
ตั้งแต่3 ปี แม้กระนั้นไม่ถึง 6 ปี 180 วัน
ตั้งแต่ 6 ปี แม้กระนั้นไม่ถึง 10 ปี 240 วัน
ตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป 300 วัน
ซึ่งในเรื่องที่นายจ้างยกเลิกการจ้างแรงงาน ก็จำต้องชำระเงินค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ดังที่ข้อบังคับกำหนดเอาไว้
2.บำนาญจากกองทุนประกันสังคม
เว้นแต่เงินที่พวกเราจะได้รับการทดแทนโดยชอบด้วยกฎหมายแรงงานแล้ว สำหรับบุคลากรเอกชน รับประทานค่าจ้างรายเดือนอย่างพวกเรา ผลประโยชน์ที่เปรียบได้เสมือนดั่งภาคบังคับที่ทุกบริษัทและก็ทุกคนจำเป็นต้องทำ มันก็คือ ประกันสังคม แหล่งเงินทุนเพื่อการน้ำนมที่พวกเราได้รับจากกองทุนประกันสังคม พวกเราเรียกว่า เบี้ยบำนาญชราภาพ ซึ่งเป็นเงินสบทบที่พวกเราถูกหักทุกเดือนจากรายได้ที่พวกเราจะได้รับตลอดตอนที่พวกเราดำเนินงาน เงินในปริมาณนี้จะทยอยสะสมไปเรื่อยทุกเดือนเมื่อนำเงินสบทบมารวมกับของเจ้านาย เงินลงทุนหรือผลตอบแทนที่พวกเราจะได้รับจะอยู่ในลักษณะของ เบี้ยบำนาญ โดยที่ผู้เอาประกันตนจะได้รับเมื่ออายุ 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งจ่ายให้เป็นทุกเดือนทุกเดือนไปจนถึงเสียชีวิต แต่ว่าการจะได้รับเงิน บำนาญชราภาพ จำเป็นต้องผ่านข้อแม้หลักเกณฑ์ 3 อย่างดังนี้หมายถึง
– ชำระเงินสมทบไม่ต่ำลงยิ่งกว่า 180 เดือน หรือราว 15 ปี ขึ้นไป
– อายุ 55 ปีบริบูรณ์
– การรับรองตนได้สิ้นสุดลงรวมทั้งหยุดส่งเงินสนับสนุน อาทิเช่น การลาออกจากงาน การหยุดส่งเงินสบทบ
3.กองทุนสำรองเลี้ยงชีวิต
จำต้องบอกก่อนว่า กองทุนสำรองดำรงชีวิตในขณะนี้มีเพียงแต่บางบริษัทแค่นั้นที่จัดผลประโยชน์นี้ให้กับบุคลากรของตนเอง แม้กระทั่งมีข้อบังคับออกมายืนยันว่า เป็นผลประโยชน์เต็มใจ ซึ่งแปลว่า ไม่เฉพาะแต่ควรต้องถามความเต็มใจของผู้รับจ้างเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องถามหาความพร้อมใจของผู้ว่าจ้างด้วยอย่างเดียวกัน จุดเด่นของกองทุนจำพวกนี้เป็น
– ช่วยทำให้มีวินัยสำหรับเพื่อการออมอัตโนมัติ เนื่องจากเงินนี้มาจากเงินนายว่าจ้างหักจากค่าแรงของพวกเราสะสมเข้ากองทุนรวมทั้งเงินนายว่าจ้างจ่ายสบทบเข้ากองทุน
– สิทธิประโยชน์สำหรับในการผ่อนผันภาษี
– เพิ่มจังหวะการเจริญเติบโตในเรื่องเกี่ยวกับการลงทุน เนื่องจาก มีมือโปรช่วยสำหรับการบริหารเงินให้ตามชนิดของกองทุน ทั้งยังกองทุนลำพัง กองทุนกรุ๊ป รวมทั้งกองทุนร่วมหุ้น
– มีเงินเก็บในระยะยาว เพื่อนำไปใช้ในยามปลดเกษียณหรือออกจากงาน
สำหรับคนใดกันแน่ที่ไม่ได้อยากพลาดการลงทุนหรือบริษัทของตนเองมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีวิตอยู่แล้ว ทดลองถามข้างบุคคลว่า มีแผนลงทุนอะไรให้เลือกเองได้บ้าง ยิ่งอายุน้อยช่องทางที่กำลังจะได้รับผลตอบแทนก็มีมากยิ่งขึ้น ทั้งเมื่ออายุมากขึ้น พวกเราก็สามารถย้ายหรือเปลี่ยนแปลงไปลงทุนกองทุนที่มีความยั่งยืนรวมทั้งไม่เป็นอันตรายกว่า
มาถึงที่ตรงนี้แล้ว ทดลองตรวจตัวคุณเองสิว่า วันนี้คุณมีแหล่งเงินทุนอะไรบ้าง ซึ่งสามารถเป็นประกันการใช้ชีวิตในภายภาคหน้า